หมวดหมู่: ข่าวดัง

  • “ไอซ์ รักชนก ชะตากรรมผู้แทนฯ เมื่อ มาตรา 112 ขีดเส้นทางการเมือง”

    “ไอซ์ รักชนก ชะตากรรมผู้แทนฯ เมื่อ มาตรา 112 ขีดเส้นทางการเมือง”

    “เมื่อหน้าที่ผู้แทนราษฎรต้องเผชิญชะตากรรมจากข้อกฎหมายที่สังคมจับมอง” — นั่นคือภาพรวมของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ รักชนก ศรีนอก หรือ “ไอซ์” ส.ส.หญิงจากเขต 28 กรุงเทพมหานคร ที่ถูกดำเนินคดีตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 (“ม.112”) และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งกลายเป็นชนวนให้เธออาจสิ้นสถานะผู้แทนฯ ในทันทีหากถูกพิพากษา — เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งใน “กระแสการเมือง – กฎหมาย – เสรีภาพ” ที่สังคมไทยจับตามองอย่างยิ่ง
    ในบทความนี้ เราจะพาไปดู ประวัติของรักชนก, เบื้องหลังคดี ม.112, กระแสตอบรับในสังคม, ผลงานทางการเมือง, และบทสรุปของสถานการณ์ พร้อมคำถามยอดนิยม (FAQ) ที่หลายคนสงสัย


    ประวัติ: จากนักกิจกรรมสู่นักการเมืองดาวรุ่ง
    รักชนก ศรีนอก เริ่มมีชื่อในแวดวงกิจกรรมทางสังคม ก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามการเมืองในฐานะผู้สมัคร ส.ส. จากพรรค พรรคก้าวไกล (ณ เวลานั้น) ในเขต 28 กรุงเทพมหานคร (บางบอน – หนองแขม – จอมทอง) และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ด้วยคะแนนเสียงตามข้อมูลที่ระบุไว้ว่า เธอใช้นโยบายที่ประชาชน “เข้าใจปัญหา พึ่งพาได้จริง ไม่ละทิ้งอุดมการณ์” โดยมีภาพลักษณ์ของหญิงรุ่นใหม่ที่ใช้วิธีหาเสียงแบบรักษ์โลก เช่น ปั่นจักรยานหาเสียงในพื้นที่ ฯลฯ
    ก่อนจะเข้าสู่การเมืองเต็มตัว เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี (วิทยาศาสตร์) จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีประสบการณ์ด้านธุรกิจส่วนตัว ซึ่งทำให้เธอมีจุดยืนด้านเศรษฐกิจฐานรากและการกระจายผลประโยชน์อย่างประชาธิปไตยในแคมเปญหาเสียงของเธอ 
    การได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. (เขต 28) ถือว่าเธอเป็น “ดาวรุ่ง” ในพรรคก้าวไกล และถูกจับตามองว่าอาจเป็นหนึ่งในตัวแทนรุ่นใหม่ของการเมืองไทย อย่างไรก็ดี ชัยชนะนั้นกลับนำมาซึ่งภาระของคดีความในเวลาอันสั้น

    112 ALERT : ชวนรู้จักคดี 112 ของไอซ์-รักชนกก่อนศาลมีคำพิพากษาที่อาจหลุดเก้าอี้สส. - iLaw


    เบื้องหลังคดี มาตรา 112: ระเบิดการเมืองในพื้นที่ออนไลน์
    คดีของรักชนกเริ่มจากการถูกกล่าวหาว่า โพสต์ข้อความและรีทวีต (บนแพลตฟอร์ม Twitter) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยโจทก์คือประชาชนทั่วไป มณีรัตน์ เลาวเลิศ ที่ได้แจ้งความไว้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ที่ บก.ปอท.
    รายละเอียดของพฤติการณ์คือ:

    • โพสต์ครั้งแรก วันที่ 28 กรกฎาคม 2564 โดยข้อความว่า “พูดตรงๆนะ ที่พวกเราต้องมาเจอวิกฤตวัคซีนแบบทุกวันนี้…” พร้อมภาพป้ายที่มีข้อความว่า “ทรราช (คํานาม) TYRANT ; ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อํานาจ…” ซึ่งถูกพิจารณาว่าเข้าข่ายการหมิ่นประมาทตามมาตรา 112

    • โพสต์ครั้งที่สอง วันที่ 18 (หรือ 16) ตุลาคม 2563 เป็นภาพจากการชุมนุม #16ตุลา… ซึ่งมีข้อความสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อมาถูกรีทวีตโดยบัญชีของรักชนก

    เมื่อพนักงานสอบสวนดำเนินการแล้ว วันที่ 29 กันยายน 2564 ได้มีหมายเรียกรักชนกไปให้ถ้อยคำ
    ศาลอาญาในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 พิพากษาให้จำคุกรวม 6 ปี (2 กระทง กระทงละ 3 ปี) โดยเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 
    อย่างไรก็ดี ในภายหลังศาลอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 500,000 บาท พร้อมเงื่อนไขห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันอีก

    นอกจากนี้ มีการอ้างว่า หากศาลตัดสินให้จำเลยเข้าเรือนจำโดยไม่ให้ประกันตัวทันที จะทำให้รักชนก “พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (6) ทันที และจะมีการจัดการเลือกตั้งซ่อมในเขตนั้น


    กระแสสังคมและการเมือง: เสียงผู้สนับสนุน VS เสียงวิจารณ์
    เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่สังคมไทยจับตาอย่างมาก ทั้งในมิติเสรีภาพในการแสดงออก, การเมืองสี แดง–น้ำเงิน, และบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์

    • ฝ่ายสนับสนุนรักชนก เห็นว่าเธอเป็นตัวแทนของการเมืองแบบใหม่ ท้าทายโครงสร้างเก่า และเป็นผู้ใช้โซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยเพื่อสื่อสารกับประชาชน การถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 จึงถูกมองว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพพูด – แสดงออก

    • ฝ่ายวิจารณ์ มองว่า ประเด็นที่รักชนกพูดหรือโพสต์นั้นเข้าใกล้ “ข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ซึ่งกฎหมายไทยถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง และการใช้ฟีเจอร์รีทวีตที่ส่งต่อข้อความจากบัญชีอื่นอาจถูกสังคมมองว่าเป็นการ “สนับสนุน” หรือ “เผยแพร่”

    • ในทางการเมือง คดีนี้ส่งสัญญาณว่า ผู้แทนที่มีบทบาทในโลกออนไลน์ – โซเชียลมีเดีย จะต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ มาตรา 112 ยังถูกใช้อย่างต่อเนื่อง

    • ในแง่ของสื่อและประชาชน มีการเตือนถึงการแชร์ข่าวปลอม หรือการบิดเบือนข้อมูล (“เฟก นิวส์”) เช่น กรณีที่มีข่าวปล่าวว่า รักชนกถูกจับอีกครั้งและจะยุบพรรค

    ด้วยเหตุนี้ คดีของรักชนกจึงไม่ใช่เพียงกรณีของนักการเมืองคนหนึ่ง แต่เป็น “จุดตัด” ระหว่างเสรีภาพ – ความรับผิดชอบ – การเมืองยุคดิจิทัล


    ผลงานทางการเมืองและนโยบายที่ถูกจับตา
    แม้คดี ม.112 จะเป็นข่าวโดดเด่น แต่รักชนกก็ได้สร้างผลงานในฐานะ ส.ส. ความโดดเด่นบางประการ เช่น:

    • การเน้นนโยบาย “สวัสดิการครอบคลุมทุกช่วงชีวิต” และการกระจายผลประโยชน์สู่ประชาชนรากหญ้า

    • การหาเสียงในพื้นที่เขต 28 ด้วยวิธีที่แตกต่าง เช่น ปั่นจักรยานหาเสียง, แจกนโยบายเป็นมาลัยคล้องคอประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมโดยตรง

    • การเป็นตัวแทนของเสียงคนรุ่นใหม่ในพรรค และการแสดงออกทางการเมืองผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น คลับเฮ้าส์, ทวิตเตอร์

    อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาในการทำหน้าที่ ส.ส. ถูกจำกัดโดยคดีความ ซึ่งส่งผลให้ “โอกาสในการผลักดันนโยบาย” ถูกชะลอหรือแทรกแซงโดยภาวะวิกฤตทางกฎหมาย


    ผลกระทบและความหมายเชิงโครงสร้าง
    การที่รักชนกถูกพิพากษาในคดี ม.112 และอาจ “พ้นจากตำแหน่ง” หากไม่สามารถประกันตัวเป็นเครื่องเตือนไปยังนักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน เพราะ:

    • มีผลต่อ สถานะผู้แทนฯ โดยตรง: หากถูกจำคุกหรือไม่ได้รับการประกันตัว จะหลุดจากตำแหน่ง ส.ส. ทันทีตามรัฐธรรมนูญ

    • ส่งสัญญาณว่าการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือสื่อสารทางการเมืองมีความเสี่ยง: ข้อความหรือรีทวีตอาจกลายเป็นประเด็นทางกฎหมายได้

    • เป็นบททดสอบของ เสรีภาพในการแสดงออก ในบริบทไทย: สนามการเมืองยุคใหม่ที่ข้ามพรมแดนระหว่าง “ออนไลน์” และ “ออฟไลน์”

    • แสดงให้เห็นว่า กฎหมาย ม.112 ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในระบบกฎหมายไทย และมีผลต่อโครงสร้างทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม


    สรุป
    เรื่องของรักชนก ศรีนอก เป็นมากกว่าคดีอีกคดีหนึ่ง — มันคือสัญลักษณ์ของการเมืองยุคใหม่ในประเทศไทย ที่รวมเอา เสรีภาพ – กฎหมาย – โซเชียลมีเดียเข้าไว้ด้วยกัน
    แม้เธอจะมีผลงานและภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะผู้แทนราษฎร แต่เมื่อเจอกับบททดสอบทางกฎหมายอย่าง ม.112 ก็ทำให้เส้นทางการเมืองของเธอต้องหยุดชะงัก และเปิดวงให้สังคมตั้งคำถามถึง “สิ่งที่ผู้แทนในยุคดิจิทัลควรทำได้” และ “สิ่งที่สังคมจะยอมรับได้”
    ไม่ว่าในอนาคตผลการอุทธรณ์จะเป็นอย่างไร แต่บทเรียนจากกรณีนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานการเมืองไทยยุคหน้า


    FAQ – คำถามที่พบบ่อย

    1. ถาม: มาตรา 112 คืออะไร?
      ตอบ: มาตรา 112 หรือ “หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” เป็นมาตราที่อยู่ในประมวลกฎหมายอาญาของไทย กำหนดโทษผู้ที่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำคัญในราชวงศ์ และมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี

    2. ถาม: เหตุใดหาก ส.ส. ถูกจำคุกแล้วจะพ้นจากตำแหน่ง?
      ตอบ: ตามรัฐธรรมนูญไทย หากผู้แทนฯ ถูกสั่งจำคุกหรือถูกคุมขัง จะถือว่าละเมิดคุณสมบัติการเป็นผู้แทนฯ ซึ่งจะนำไปสู่การสิ้นสุดตำแหน่ง และต้องมีการจัดเลือกตั้งซ่อมในเขตนั้น

    3. ถาม: การรีทวีตหรือแชร์โพสต์ถือว่ามีความผิดภายใต้ ม.112 ด้วยหรือไม่?
      ตอบ: ในกรณีของรักชนก ศาลพิจารณาว่า การรีทวีตข้อความที่มีเนื้อหาต่อต้านสถาบันและรีทวีตภาพดังกล่าวถือเป็น “เผยแพร่” ซึ่งอยู่ในขอบเขตความผิดตาม ม.112 ตามที่ศาลได้วิเคราะห์พยานหลักฐาน

    4. ถาม: หากถูกพิพากษาแล้วสามารถอุทธรณ์ได้หรือไม่?
      ตอบ: ได้ — ผู้ถูกพิพากษาสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาได้ และหากศาลชั้นต้นกำหนดเงื่อนไขให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้จนกว่าคำอุทธรณ์จะถึงที่สุด

    5. ถาม: เรื่องนี้ส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงออกของผู้แทนฯ อย่างไร?
      ตอบ: กรณีนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ในยุคของโซเชียลมีเดีย ผู้แทนฯ ที่ใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อสื่อสารกับประชาชน มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อข้อความหรือโพสต์นั้นเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์

    6. ถาม: แล้วอนาคตของรักชนกจะเป็นอย่างไร?
      ตอบ: ขึ้นอยู่กับผลการอุทธรณ์และการปฏิบัติตามเงื่อนไขประกันตัว หากคดีถึงที่สุดโดยศาลยืนยันโทษจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว ก็อาจทำให้เธอพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และสูญเสียสิทธิทางการเมือง อย่างไรก็ดี ถ้าได้รับการประกันและอุทธรณ์ได้ก็อาจกลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อได้

     

  • “ไอซ์ รักชนก กับชะตากรรมทางการเมือง: มาตรา 112 จะปลิดปีกดาวรุ่งหญิงแห่งสภาไทยหรือไม่?”

    “ไอซ์ รักชนก กับชะตากรรมทางการเมือง: มาตรา 112 จะปลิดปีกดาวรุ่งหญิงแห่งสภาไทยหรือไม่?”

    ในช่วงเวลาที่การเมืองไทยยังคงเต็มไปด้วยความซับซ้อนและความตึงเครียดจากเส้นแบ่งระหว่าง “เสรีภาพในการแสดงออก” และ “ข้อจำกัดทางกฎหมาย” ชื่อของ “ไอซ์ รักชนก ศรีนอก” กลายเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ส.ส.หญิงจากพรรคก้าวไกล ผู้ซึ่งมีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ กล้าพูด กล้าแสดงออก และใช้โลกออนไลน์เป็นพื้นที่ขับเคลื่อนการเมืองอย่างสร้างสรรค์ แต่ในขณะเดียวกัน เธอกลับต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ไม่คาดคิด — คดีความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งอาจเปลี่ยนชีวิตการเมืองของเธอไปตลอดกาล

    บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักเส้นทางชีวิตของไอซ์ รักชนก ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้าสู่การเมือง เหตุการณ์คดีที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ กระแสในสังคม ผลกระทบที่เกิดขึ้น และสิ่งที่อาจรอเธออยู่ในอนาคต


    เส้นทางชีวิตและจุดเริ่มต้นของดาวรุ่งหญิงแห่งการเมือง

    รักชนก ศรีนอก หรือ “ไอซ์” เป็นหนึ่งในตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่เลือกเส้นทางการเมืองเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง เธอเติบโตในกรุงเทพมหานคร จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และก่อนลงสนามการเมือง เธอมีประสบการณ์ทำงานในภาคธุรกิจและกิจกรรมทางสังคมหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องสิ่งแวดล้อมและสิทธิสตรี

    ไอซ์เริ่มเป็นที่รู้จักในช่วงการเลือกตั้งปี 2566 เมื่อเธอลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล เขต 28 กรุงเทพมหานคร (บางบอน–หนองแขม–จอมทอง) ด้วยแนวทางหาเสียงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เธอเลือกปั่นจักรยานหาเสียงในพื้นที่ ใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา และสร้างภาพลักษณ์ของนักการเมืองที่ “เข้าถึงได้จริง” ไม่เน้นความหรูหราแต่เต็มไปด้วยอุดมการณ์

    หลังได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ไอซ์ รักชนก ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน “ดาวรุ่งหญิงแห่งสภาไทย” ด้วยบุคลิกชัดเจน พูดตรงไปตรงมา และกล้าที่จะตั้งคำถามต่อระบบอำนาจ แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น เส้นทางของเธอกลับพลิกผัน เมื่อชื่อของเธอถูกผูกเข้ากับคดีที่สะเทือนวงการการเมืองทั้งประเทศ

    ไอซ์ รักชนก รอด ศาลไม่ถอนประกัน คดี 112-พ.ร.บ.คอมพ์  เผยจำเลยไม่ได้ทำผิดเงื่อนไข


    คดีมาตรา 112: จุดเปลี่ยนของชีวิตทางการเมือง

    คดีของไอซ์ รักชนก เริ่มต้นจากการถูกแจ้งความว่ามีการโพสต์และรีทวีตข้อความบนแพลตฟอร์ม Twitter ที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และมีการเพิ่มข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ร่วมด้วย

    ข้อความที่เป็นประเด็นเกิดขึ้นในช่วงปี 2563–2564 ซึ่งเป็นช่วงที่การเมืองไทยกำลังร้อนแรงจากการชุมนุมของเยาวชน นักศึกษา และประชาชน การแสดงออกทางความเห็นบนโลกออนไลน์กลายเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง หลายคนถูกดำเนินคดีจากการโพสต์ข้อความที่ถูกตีความว่าเป็นการดูหมิ่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งไอซ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

    ในเดือนธันวาคม 2566 ศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกไอซ์ รักชนกเป็นเวลา 6 ปี (2 กระทง กระทงละ 3 ปี) โดยไม่รอลงอาญา แม้เธอจะยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาทและเพียงแสดงความเห็นเชิงการเมือง แต่ศาลเห็นว่าการกระทำของเธอมีผลกระทบต่อสถาบันและเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เธอได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์โดยมีวงเงิน 500,000 บาท พร้อมเงื่อนไขห้ามกระทำพฤติกรรมในลักษณะเดิมอีก

    คำพิพากษาครั้งนั้นทำให้สังคมตั้งคำถามสำคัญว่า “ไอซ์ รักชนก จะรอดหรือไม่?” เพราะหากคดีถึงที่สุดและเธอต้องรับโทษจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว จะส่งผลให้สิ้นสุดสถานะการเป็น ส.ส. ทันทีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (6)


    เสียงสะท้อนจากสังคม: ความเห็นที่แตกขั้ว

    กรณีของไอซ์ รักชนก ได้จุดกระแสถกเถียงรุนแรงในสังคมไทยระหว่าง “ฝ่ายเสรีนิยม” กับ “ฝ่ายอนุรักษนิยม” ซึ่งต่างมีมุมมองต่อคดีนี้อย่างชัดเจน

    ฝ่ายหนึ่งมองว่า ไอซ์คือสัญลักษณ์ของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่กล้าใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การถูกดำเนินคดี ม.112 ถือเป็นการจำกัดเสรีภาพทางความคิดและเป็นตัวอย่างของ “ความกลัวในการพูดความจริง” ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่า นักการเมืองในตำแหน่ง ส.ส. ควรมีความรับผิดชอบในการใช้ถ้อยคำ และไม่ควรแตะต้องเรื่องที่เป็นสถาบันหลักของชาติ

    บนโลกออนไลน์ คำว่า “รักชนก” กลายเป็นแฮชแท็กที่ถูกพูดถึงนับล้านครั้ง หลายคนออกมาสนับสนุนให้เธอสู้ต่อ และยืนยันว่า “การเมืองไม่ควรปิดปากใคร” ขณะที่อีกฝ่ายกลับเรียกร้องให้ศาลดำเนินการอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความสงบและศรัทธาในสถาบัน


    ผลกระทบต่อพรรคและภาพลักษณ์ทางการเมือง

    พรรคต้นสังกัดของไอซ์ รักชนก ถูกจับตาว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน พรรคก้าวไกลเองก็เผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและหน่วยงานรัฐ การมีสมาชิกพรรคถูกดำเนินคดี ม.112 ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์พรรคถูกโจมตีหนักขึ้น

    อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรคหลายคนออกมาปกป้องไอซ์ โดยยืนยันว่า เธอเป็นคนทำงานจริงจัง มีอุดมการณ์ชัดเจน และควรได้รับสิทธิ์ในกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม พวกเขายังมองว่าคดีของไอซ์สะท้อนถึง “ความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมาย ม.112” เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยและหลักสิทธิมนุษยชน


    ผลงานและจุดยืนทางการเมืองของไอซ์ รักชนก

    แม้จะตกอยู่ในกระแสข่าวคดี แต่ผลงานของไอซ์ รักชนก ในฐานะ ส.ส. ก็เป็นที่ยอมรับในพื้นที่และในสภา เธอมีบทบาทโดดเด่นในการผลักดันนโยบายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการสร้างระบบสวัสดิการเด็กและผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า

    ในสภา เธอมักลุกขึ้นอภิปรายด้วยน้ำเสียงมั่นใจและอ้างอิงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับงบประมาณ การศึกษา และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประเด็น “สิทธิสตรีและแรงงานหญิง” ซึ่งเธอถือว่าเป็นหนึ่งในเสียงที่ชัดเจนที่สุดของฝ่ายประชาชน

    เธอมักกล่าวว่า “เราไม่ควรกลัวที่จะพูดความจริง เพราะการนิ่งเงียบไม่เคยทำให้สังคมดีขึ้น” ซึ่งประโยคนี้สะท้อนความเชื่อของเธออย่างชัดเจน — และก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องเผชิญกับคดีใหญ่ในชีวิตเช่นกัน


    ความหมายของคดีนี้ต่ออนาคตทางการเมืองไทย

    คดีของไอซ์ รักชนก ไม่ได้ส่งผลเฉพาะกับตัวเธอเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น “กรณีศึกษา” ของนักการเมืองรุ่นใหม่และผู้ใช้โซเชียลมีเดียในวงกว้าง ว่าการแสดงออกในยุคดิจิทัลสามารถนำไปสู่ผลทางกฎหมายได้จริง หากไม่ระมัดระวัง

    สำหรับประเทศไทย กรณีนี้เปิดคำถามสำคัญว่า กฎหมาย ม.112 ยังสามารถอยู่ร่วมกับเสรีภาพทางความคิดในยุคสมัยใหม่นี้ได้หรือไม่ และระบบการเมืองควรจัดการกับกรณีเช่นนี้อย่างไรโดยไม่ให้เกิดการปิดกั้นความคิดเห็นของประชาชน

    หากศาลอุทธรณ์ตัดสินให้เธอพ้นผิด ไอซ์อาจกลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง “ชัยชนะของเสรีภาพ” แต่หากผลออกมาตรงข้าม เธออาจกลายเป็นอีกหนึ่ง “เหยื่อของโครงสร้างอำนาจ” ที่ทำให้คนรุ่นใหม่ต้องตั้งคำถามต่ออนาคตการเมืองไทยอีกครั้ง


    สรุป

    ไอซ์ รักชนก ศรีนอก คือภาพแทนของการต่อสู้ระหว่าง “เสรีภาพ” และ “อำนาจรัฐ” ในสังคมไทย เธอไม่ได้เป็นเพียงนักการเมืองหญิงคนหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่เชื่อว่า การพูดความจริงไม่ควรถูกจำกัดด้วยความกลัว แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงทางกฎหมายและตำแหน่งทางการเมือง

    ชะตากรรมของเธอในคดี มาตรา 112 ยังไม่สิ้นสุด แต่ไม่ว่าจะจบอย่างไร บทเรียนจากกรณีนี้จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคดิจิทัลอย่างแน่นอน


    FAQ – คำถามที่พบบ่อย

    1. ถาม: มาตรา 112 คืออะไร?
      ตอบ: มาตรา 112 เป็นกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญาของไทย ว่าด้วยการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำคัญในราชวงศ์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี

    2. ถาม: ไอซ์ รักชนก ถูกกล่าวหาด้วยเหตุใด?
      ตอบ: เธอถูกกล่าวหาว่าโพสต์และรีทวีตข้อความบน Twitter ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

    3. ถาม: ปัจจุบันไอซ์ยังเป็น ส.ส. อยู่หรือไม่?
      ตอบ: ปัจจุบันเธอยังเป็น ส.ส. อยู่ เนื่องจากศาลอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ แต่หากคำพิพากษาถึงที่สุดและศาลสั่งจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัว เธอจะพ้นจากตำแหน่งทันที

    4. ถาม: กรณีนี้มีผลต่อพรรคต้นสังกัดของเธอหรือไม่?
      ตอบ: มีผลในเชิงภาพลักษณ์และแรงกดดันทางการเมือง โดยพรรคต้องรับมือกับกระแสทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายตรงข้ามที่ใช้คดีนี้เป็นเครื่องมือโจมตี

    5. ถาม: สังคมมีท่าทีอย่างไรต่อคดีนี้?
      ตอบ: สังคมแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพ อีกฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องของการเคารพกฎหมายและสถาบัน ทำให้เกิดการถกเถียงรุนแรงในสื่อและโซเชียล

    6. ถาม: อนาคตของไอซ์ รักชนกจะเป็นอย่างไรต่อไป?
      ตอบ: ขึ้นอยู่กับผลการอุทธรณ์ หากเธอได้รับการยกฟ้อง เธออาจกลับมามีบทบาททางการเมืองที่แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่หากไม่ เธออาจสูญเสียตำแหน่งและสิทธิทางการเมืองในระยะยาว


  • พี่หมวยช่อง 3 ตกใจ ได้รับหมายศาล – จากพิธีกรคนดังสู่กระแสคดีไม่คาดคิด

    พี่หมวยช่อง 3 ตกใจ ได้รับหมายศาล – จากพิธีกรคนดังสู่กระแสคดีไม่คาดคิด

    เรื่องราวของ “พี่หมวย ช่อง 3” กลายเป็นข่าวที่สะเทือนวงการสื่อบันเทิงไทย เมื่อพิธีกรสาวชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักจากรายการหลากหลายแนวของช่อง 3 ได้ออกมาเผยว่าตนได้รับหมายศาลอย่างไม่ทันตั้งตัว สร้างความตกใจทั้งในวงการและในหมู่แฟนคลับที่ติดตามผลงานของเธอมานาน เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายคนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เบื้องหลังของคดีนี้คืออะไร และส่งผลต่อชีวิตของพี่หมวยอย่างไรบ้าง

    เส้นทางในวงการของพี่หมวย

    พี่หมวยเริ่มต้นเส้นทางในวงการบันเทิงจากการเป็นผู้ประกาศข่าวและพิธีกรในรายการบันเทิงของช่อง 3 ด้วยบุคลิกที่สดใส พูดจาฉะฉาน และน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในผู้ประกาศหญิงที่คนดูจดจำได้เร็ว จากรายการเล็กๆ สู่รายการหลักในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ พี่หมวยกลายเป็นชื่อที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ชมทั่วประเทศ

    นอกจากงานหน้าจอ เธอยังมีบทบาทในวงการกิจกรรมสังคมและการกุศลมากมาย พี่หมวยเป็นคนที่มักจะใช้ชื่อเสียงของตนเองช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก และทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆ เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น

    เหตุการณ์หมายศาลที่ไม่คาดคิด

    เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีรายงานว่าพี่หมวยได้รับหมายศาลจากคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิ์ในเนื้อหาบางประเภท ซึ่งเธอเองก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ตกใจมาก เพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ในชีวิต” โดยเบื้องต้นคาดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจากการแชร์ข้อมูลในโซเชียลมีเดียที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด

    ทีมงานและทนายความของพี่หมวยได้เร่งเข้าไปจัดการเรื่องนี้ โดยยืนยันว่าพี่หมวยไม่มีเจตนาทำผิดกฎหมาย และพร้อมให้ความร่วมมือกับศาลอย่างเต็มที่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน

    กระแสในโลกออนไลน์

    หลังจากข่าวถูกเผยแพร่ โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยเสียงให้กำลังใจจากแฟนคลับและเพื่อนร่วมวงการ หลายคนมองว่าเหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงของยุคดิจิทัล ที่การสื่อสารและแชร์ข้อมูลสามารถนำไปสู่ผลทางกฎหมายได้โดยไม่ตั้งใจ หลายคอมเมนต์ในโซเชียลย้ำว่า “พี่หมวยเป็นคนจริงใจ คงไม่มีทางทำผิดโดยเจตนาแน่นอน”

    อย่างไรก็ตาม ยังมีบางฝ่ายที่ตั้งข้อสงสัยและต้องการรอฟังคำชี้แจงจากทั้งสองฝั่งเพื่อความชัดเจน ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นประเด็นร้อนที่สื่อหลายสำนักเกาะติดอย่างใกล้ชิด

    การตอบสนองของช่อง 3

    ทางช่อง 3 เองได้ออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่า “ทางสถานีให้ความเชื่อมั่นในตัวพนักงานและผู้ประกาศทุกคน และจะติดตามความคืบหน้าของกรณีนี้อย่างรอบคอบ” พร้อมยืนยันว่าพี่หมวยยังคงทำหน้าที่ในรายการตามปกติในขณะที่รอผลจากศาล ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนและความไว้วางใจในตัวเธอ

    บทเรียนจากเหตุการณ์นี้

    กรณีของพี่หมวยกลายเป็นกรณีศึกษาให้กับคนในวงการสื่อถึงการใช้งานโซเชียลอย่างมีความรับผิดชอบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอิทธิพลต่อสังคม การแชร์เนื้อหาหรือการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ตรวจสอบอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่าที่คิด บทเรียนนี้ไม่เพียงแต่สำคัญต่อบุคลากรในวงการสื่อ แต่ยังเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วไป

    ชีวิตส่วนตัวและพลังใจ

    แม้จะมีมรสุมข่าว พี่หมวยยังคงปรากฏตัวด้วยรอยยิ้ม และโพสต์ข้อความให้กำลังใจตัวเองในโซเชียลว่า “ชีวิตมันก็แบบนี้ มีขึ้นมีลง แต่เราต้องไม่ยอมแพ้” ทำให้แฟนๆ ต่างเข้ามาให้กำลังใจและชื่นชมในความเข้มแข็งของเธอ ความสามารถในการรักษาท่าทีสงบและเป็นมืออาชีพในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้รับความเคารพจากทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้ชม

    แนวโน้มต่อไปในคดี

    ขณะนี้ทนายของพี่หมวยกำลังดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยคาดว่าศาลจะมีการนัดไต่สวนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ฝ่ายพี่หมวยมั่นใจว่าจะสามารถแสดงหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความบริสุทธิ์ และอาจมีการยื่นฟ้องกลับในกรณีที่พบว่ามีการกลั่นแกล้งทางออนไลน์หรือการใส่ร้าย

    ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในวงการ

    แม้จะเผชิญกับกระแสดราม่า แต่ชื่อเสียงของพี่หมวยไม่ได้ถูกสั่นคลอนมากนัก เพราะแฟนคลับส่วนใหญ่เชื่อมั่นในบุคลิกและประวัติการทำงานที่โปร่งใสของเธอ หลายคนยังชื่นชมว่าเธอเป็นตัวอย่างของคนทำงานที่ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา และยังคงทำหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ

    สรุป

    เหตุการณ์ “พี่หมวยช่อง 3 ได้รับหมายศาล” ไม่ได้เป็นเพียงข่าวบันเทิงทั่วไป แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของโลกออนไลน์ในยุคที่ข้อมูลเคลื่อนไหวรวดเร็ว การรักษาความรอบคอบและการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนแชร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ พี่หมวยเองในฐานะคนของสังคมก็ได้ให้บทเรียนสำคัญแก่ผู้ติดตามว่า “ความรับผิดชอบทางดิจิทัล” คือสิ่งที่ทุกคนควรตระหนัก

    FAQ

    1. พี่หมวย ช่อง 3 ได้รับหมายศาลเรื่องอะไร
      – รายงานระบุว่าเกี่ยวข้องกับคดีการละเมิดสิทธิ์ในเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย
    2. พี่หมวยกล่าวว่าอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้
      – เธอยืนยันว่าไม่มีเจตนาทำผิด และตกใจมากที่ต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้
    3. ช่อง 3 มีท่าทีอย่างไรกับเรื่องนี้
      – ช่อง 3 ยืนยันให้การสนับสนุนพนักงานและติดตามคดีอย่างใกล้ชิด
    4. เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อการทำงานของพี่หมวยหรือไม่
      – เธอยังคงทำงานตามปกติและได้รับการสนับสนุนจากทีมงานและแฟนคลับ
    5. คดีนี้จะส่งผลต่อวงการสื่ออย่างไร
      – เป็นบทเรียนสำคัญเรื่องการใช้สื่อออนไลน์อย่างรอบคอบ โดยเฉพาะผู้ที่มีอิทธิพลต่อสังคม
    6. แฟนคลับของพี่หมวยมีปฏิกิริยาอย่างไร
      – ส่วนใหญ่ให้กำลังใจและเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของเธอ พร้อมรอให้ศาลตัดสินอย่างเป็นธรรม

     

  • กัน จอมพลัง: จากพ่อค้าบะหมี่ชามยักษ์สู่กระบอกเสียงคนจน – เบื้องหลังชีวิต กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์

    กัน จอมพลัง: จากพ่อค้าบะหมี่ชามยักษ์สู่กระบอกเสียงคนจน – เบื้องหลังชีวิต กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์

    ในยุคหนึ่ง ชื่อของ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่คนรู้จักกันดีในนาม “กัน จอมพลัง” เริ่มเป็นที่พูดถึงอย่างมาก โดยจุดเริ่มต้นของเขาไม่ได้อยู่บนเวทีใหญ่ แต่เริ่มจากการเปิดร้านบะหมี่ในตลาดนัดกลางคืนทั่วไป

    ร้านบะหมี่ของเขมีจุดขายที่โดดเด่น คือ “บะหมี่ชามยักษ์” หรือที่เรียกว่า “บะหมี่จอมพลัง” ซึ่งเป็นแนวคิดที่แหวกจากร้านบะหมี่ทั่วไปในเวลานั้น

    จากความแปลกใหม่นี้ ทำให้ร้านได้รับความสนใจในโลกโซเชียล และช่วยให้ชื่อ “กัน จอมพลัง” กลายเป็นแบรนด์หนึ่งที่คนจดจำได้ทันที

    เส้นทางธุรกิจและมรสุมแรก

    แม้จะเริ่มต้นอย่างดูดี แต่ชีวิตธุรกิจของกันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เขาเคยเผยว่า ถูกลูกน้องโกงเงิน กองรวมกันหลายคน และต่อมาถึงขนาดมีการใช้ระเบิดใส่ร้าน

    เขาเล่าว่าเหตุการณ์นั้นทำให้เข้าใจว่า “ความยุติธรรม” ในไทยนั้นมักเป็นของคนที่มีนามสกุลดังหรือมีสายสัมพันธ์มากกว่า และมันเป็นจุดเปลี่ยนที่เขาเริ่มหันมามีบทบาทอื่นนอกเหนือจากแค่ธุรกิจ

    นอกจากร้านบะหมี่แล้ว กันยังมีส่วนในการถือหุ้นและดำรงตำแหน่งกรรมการในบริษัทอีกหลายแห่ง เช่น บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด และ บริษัทไทยคิงเทค จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจในด้านซอฟต์แวร์และเทคโนโลยี

    จุดเปลี่ยนสู่ “กระบอกเสียง” ในสังคม

    เมื่อถึงช่วงวิกฤตการณ์ เช่น ระบาดของโรค โควิด-19 กันได้เริ่มลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างจริงจัง เช่น ซื้อรถพยาบาล เตียงคนไข้ หรือถังออกซิเจน เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบมีทางเลือกมากขึ้น

    จากการช่วยเหลือครั้งเล็กครั้งน้อย เขาค่อย ๆ กลายเป็นที่พึ่งของผู้ที่ถูกทอดทิ้ง หรือผู้ที่ไม่มีเสียงในสังคม รวมถึงการเปิดโปงคดี เช่น แก๊งขอทานที่อาจเชื่อมโยงขบวนการค้ามนุษย์

    เขาให้สัมภาษณ์ว่าเคยช่วยผู้คนกว่า 400 เคสในหนึ่งปี และส่วนมากเป็นเคสที่ไม่ออกสื่อ

    ภาพลักษณ์และดราม่าในโลกโซเชียล

    แม้จะมีบทบาททางสังคมโดดเด่น แต่เส้นทางของกันก็ไม่ได้ปราศจากเสียงวิจารณ์ เช่น มีมุมที่ถูกตั้งคำถามเรื่องสุขอนามัยของร้านบะหมี่ การใช้รถของตำรวจเพื่อส่วนตัว และการตั้งโต๊ะ-เก้าอี้ขวางทางเดินสาธารณะ

    สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพลักษณ์ของเขามีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าสังคมมีทั้งคนสนับสนุนและคนแอนตี้

    ความสัมพันธ์กับนักการเมืองและคำถามเรื่องการเมือง

    อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกพูดถึงคือความใกล้ชิดของกันกับนักการเมืองชื่อดังอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า โดยเขาเคยออกมาเผยว่า ร.อ.ธรรมนัสเป็น “พี่ชาย” ของเขาในความหมายของความสนิทสนม ไม่ใช่หัวหน้าหรือเจ้านาย

    มีการตั้งคำถามว่าเขากำลัง “ปูทางเข้าสู่การเมือง” หรือไม่ ซึ่งกันตอบชัดเจนว่าเขาไม่อยากเล่นการเมือง เพราะเขามีความสุขกับการช่วยเหลือคนในบทบาทปัจจุบันมากกว่า

    ผลงานเด่นและเคสที่ถูกพูดถึง

    1. เคสเด็กที่ถูกทำร้าย – กันเคยช่วยเปิดโปงคดีเด็กวัย 14 และ 4 ขวบ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่เขาลงพื้นที่จริงและให้ความช่วยเหลือ

    2. เคสแก๊งขอทานจีน – เขาเข้าร่วมเปิดเผยขบวนการขอทานที่อาจเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ โดยเคยโพสต์ภาพและเรียกร้องให้ผู้ติดตามช่วยส่งพิกัด

    3. เคสรถบีเอ็มดับเบิลยูปาดหน้า – กรณีหนึ่งที่เขาช่วย “ลุง/ป้า” ที่ประสบเหตุจากรถปาดหน้า แล้วได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเขาให้ความช่วยเหลือจนเป็นข่าว

    มิติของแบรนด์ “กัน จอมพลัง” และคีย์เวิร์ดที่เชื่อมโยง

    แบรนด์ “กัน จอมพลัง” ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อของบุคคล แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “คนที่ยืนเคียงข้างคนจน” “ตัวแทนผู้ที่ไม่มีเสียง” และ “ผู้ท้าทายอำนาจมืดในสังคม” โดยคีย์เวิร์ดที่มักเกี่ยวข้อง ได้แก่ “อินฟลูเอนเซอร์”, “ช่วยเหลือสังคม”, “กระบอกเสียงประชาชน”, “บะหมี่จอมพลัง”, “ธุรกิจร้านบะหมี่”, “นามสกุลดัง”, “ความยุติธรรม”, “การเมือง”, “เคสช่วยเหลือ”

    การกระจายคีย์เวิร์ดเหล่านี้ในบทความจะช่วยให้หัวข้อเกี่ยวกับ “กัน จอมพลัง” มีโอกาสติดอันดับการค้นหา (SEO) ได้ดีขึ้น เช่น “กัน จอมพลังช่วยเหลือสังคม”, “ประวัติ กัน จอมพลัง”, “ธุรกิจบะหมี่จอมพลัง”, “กัน จอมพลังกับการเมือง” เป็นต้น

    เปิดรายได้แท้จริง "กัน จอมพลัง" หลังโดนขุดอดีต บ้านเก่า 20 ปีก่อน  หลายคนคาดไม่ถึง! Update-42-PP - YouTube

    วิเคราะห์ว่าอะไรทำให้เขาโดดเด่น

    • จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา: จากพ่อค้ารายย่อยขายบะหมี่ชามใหญ่ กลายเป็นไวรัล ด้วยแนวคิดธุรกิจที่กล้าหาญ

    • ประสบการณ์จริง: ถูกโกง ถูกข่มขู่ เป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับการต่อสู้เรื่องความยุติธรรม

    • ใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างชาญฉลาด: เขาใช้ช่องทางออนไลน์เผยแพร่เรื่องราวช่วยเหลือ สร้างภาพลักษณ์ “ผู้ที่ยืนข้างคนจน”

    • ไม่กลัวประเด็นใหญ่: เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเคสท้าทายอำนาจ ทั้งขอทาน และการช่วยผู้ถูกละเมิด

    • มีช่องทางธุรกิจรองรับ: แม้ธุรกิจร้านบะหมี่อาจปิดไป แต่เขาได้ขยายไปยังธุรกิจอื่นที่มีโครงสร้างมากขึ้น

    • ความสัมพันธ์ทางอำนาจ: แม้จะบอกว่าไม่เล่นการเมือง แต่ความสัมพันธ์กับนักการเมืองชื่อดังทำให้เขาถูกจับตามอง

    ข้อท้าทายและสิ่งที่ต้องจับตา

    • การถูกตั้งคำถามเรื่องแรงจูงใจ: มีเสียงวิจารณ์ว่าเขาอาจ “หิวแสง” หรือใช้ภาพช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเขาเองก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทำจริง ไม่ใช่เพื่อภาพ

    • การจัดการภาพลักษณ์: ดราม่าเรื่องสุขอนามัยของร้านบะหมี่ และการใช้รถตำรวจส่วนตัว ได้กระทบภาพลักษณ์ที่ “ยืนข้างคนจน” อยู่ไม่น้อย

    • ความคาดหวังของสาธารณะ: เมื่อชื่อเสียงเติบโตขึ้น ภาระหน้าที่ของเขาก็เพิ่มขึ้นตาม ความคาดหวังว่าเขาจะ “ช่วยได้ทุกคน” ย่อมตามมา

    • เส้นแบ่งระหว่างช่วยเหลือกับการเมือง: แม้เขาจะบอกว่าไม่เล่นการเมือง แต่ความสัมพันธ์กับนักการเมืองและบทบาทช่วยเหลือ ทำให้มีการตั้งคำถามเสมอว่าเขากำลังเข้าสู่สนามการเมืองหรือไม่

    • ความยั่งยืนของบทบาท: การเป็น “อินฟลูเอนเซอร์ช่วยสังคม” อาจมีช่วงเวลา หากไม่มีโครงสร้างที่มั่นคงหรือองค์กรรองรับ อาจตกขบวนได้

    สรุปภาพรวม – ทำไม “กัน จอมพลัง” ถึงเป็นปรากฏการณ์

    เมื่อมองภาพรวมของกัน จอมพลัง พบว่าเขาไม่ใช่แค่ “บุคคล” แต่เป็น “สัญลักษณ์” ของพลังทางสังคมที่สามารถเปลี่ยนอัตลักษณ์จากพ่อค้าธรรมดา ไปเป็นผู้ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่กลัวเสียงวิจารณ์

    ประวัติของเขแสดงให้เห็นว่า แม้จะไม่มีนามสกุลดังหรือเส้นสายเริ่มต้น แต่ด้วยความกล้าและใช้โอกาสให้เป็น ทำให้เขาได้รับการจดจำอย่างแพร่หลาย

    ธุรกิจเริ่มต้นจากร้านบะหมี่ชามใหญ่ เป็นจุดก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจและชื่อเสียง จากนั้นเขาได้ขยายบทบาทไปสู่การช่วยเหลือสังคม และกลายเป็น “กระบอกเสียง” ให้กับผู้ไม่มีเสียง

    แม้จะมีบททดสอบและข้อวิจารณ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “เส้นทาง” ที่เขาเลือกเดิน — จากการถูกโกง ถูกข่มขู่ มาเป็นผู้ที่ช่วยเหลือคนอื่น และไม่ยอมแพ้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่น่าจับตาในแง่จิตวิญญาณของการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

    หากเขาสามารถรักษาภาพลักษณ์ของการช่วยเหลืออย่างจริงใจ และวางโครงสร้างองค์กรให้มั่นคงต่อไป อนาคตของกัน จอมพลัง อาจไม่เพียงแค่เป็นอินฟลูเอนเซอร์หรือเจ้าของธุรกิจ แต่เป็น “แบรนด์เพื่อสังคม” ที่คนไทยนึกถึงเมื่อพูดถึงการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส


    FAQ

    Q1: กัน จอมพลัง คือใคร?
    A: กัน จอมพลัง คือชื่อที่ใช้โดย กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ ผู้เริ่มต้นจากการเปิดร้านบะหมี่ชื่อดัง “บะหมี่จอมพลัง” และต่อมาขยายบทบาทเป็นอินฟลูเอนเซอร์ช่วยเหลือสังคมในหลายเคส

    Q2: ทำไมเขาถึงมีชื่อว่า “จอมพลัง”?
    A: ชื่อ “จอมพลัง” มาจากเมนูบะหมี่ชามยักษ์ของร้านเขาที่เรียกว่า “บะหมี่จอมพลัง”

    Q3: ธุรกิจของกันมีอะไรบ้าง?
    A: นอกจากร้านบะหมี่แล้ว กันยังเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัทอย่าง บริษัท เสือแดงลอตเตอรี่ออนไลน์ จำกัด และ บริษัท ไทยคิงเทค จำกัด ซึ่งทำธุรกิจด้านซอฟต์แวร์และระบบคอมพิวเตอร์

    Q4: เขาช่วยเหลือสังคมในรูปแบบไหนบ้าง?
    A: เขาเคยจัดซื้อรถพยาบาล ถังออกซิเจน เตียงคนไข้ ช่วยเปิดโปงขบวนการขอทาน และช่วยเหลือผู้ถูกละเมิดสิทธิ์ เช่น เด็กที่ถูกทำร้าย

    Q5: มีข้อวิจารณ์หรือดราม่าอะไรบ้าง?
    A: มี ระบุถึงเรื่องสุขอนามัยของร้านบะหมี่ การใช้รถตำรวจส่วนตัว ตั้งโต๊ะขวางทางเดิน และการตั้งคำถามว่าเขาช่วยเพื่อภาพหรือไม่

    Q6: กัน จอมพลัง จะเข้าสู่การเมืองหรือไม่?
    A: ถึงแม้มีความสนิทสนมกับนักการเมืองชื่อดัง เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้มีแผนเล่นการเมือง เพราะเขามีความสุขกับบทบาทช่วยเหลือสังคมในแบบที่เป็นอยู่ เนชั่นทีวี+1



  • หนังสยองขวัญยุคใหม่กำลังคืนชีพ: เมื่อความกลัวกลายเป็นศิลปะที่คนรุ่นใหม่โหยหา

    หนังสยองขวัญยุคใหม่กำลังคืนชีพ: เมื่อความกลัวกลายเป็นศิลปะที่คนรุ่นใหม่โหยหา

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา “หนังสยองขวัญ” เคยถูกมองว่าเป็นแนวรองของวงการภาพยนตร์ ถูกผลิตซ้ำด้วยสูตรเดิม ๆ เช่น บ้านผีสิง เสียงหลอน หรือปีศาจในป่า แต่ในปี 2024–2025 กระแสของหนังสยองขวัญกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้งทั่วโลก ตั้งแต่ฮอลลีวูดไปจนถึงเอเชีย โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ไทย และเกาหลี ที่ใช้ “ความกลัว” เป็นศิลปะทางอารมณ์และการสะท้อนสังคมได้อย่างเฉียบคม

    คำถามคือ—อะไรคือแรงผลักที่ทำให้ “หนังสยองขวัญ” กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง? นี่คือการวิเคราะห์เชิงลึกทั้งในเชิงประวัติศาสตร์ แนวโน้มตลาด และความรู้สึกของผู้ชมยุคใหม่


    จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญ: รากเหง้าของความกลัวในโลกภาพยนตร์

    หนังสยองขวัญถือกำเนิดมาตั้งแต่ยุคแรกของภาพยนตร์ เช่น Nosferatu (1922) ที่สร้างตำนานแวมไพร์สยองขวัญ หรือ Psycho (1960) ของ Alfred Hitchcock ที่เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นความระทึกใจเชิงจิตวิทยา

    ยุคทองของหนังสยองขวัญในช่วงปี 1970–1990 ถือเป็นยุคแห่งความสร้างสรรค์ เช่น The Exorcist, The Shining, A Nightmare on Elm Street และ Scream ที่กลายเป็นตำนานสร้างรายได้มหาศาลให้กับสตูดิโอใหญ่ แต่เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ความนิยมเริ่มลดลง หนังสยองขวัญหลายเรื่องกลายเป็นเพียงการขายฉากตกใจหรือเลือดสาด


    ยุคฟื้นฟูใหม่: เมื่อความกลัวกลายเป็น “งานศิลป์”

    หลังปี 2015 เป็นต้นมา เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวทางของหนังสยองขวัญ ผู้กำกับรุ่นใหม่อย่าง Ari Aster (Hereditary, Midsommar) และ Robert Eggers (The Witch, The Lighthouse) นำเสนอ “ความกลัวเชิงสัญลักษณ์” แทนที่จะใช้เพียงความตกใจแบบเดิม ๆ

    ตัวอย่างหนังที่เปลี่ยนวงการ

    • Hereditary (2018) – หนังที่ใช้ “ครอบครัว” เป็นตัวแทนของความบิดเบี้ยวทางจิตใจ

    • Get Out (2017) – สยองขวัญผสมการวิจารณ์เชื้อชาติ

    • The Babadook (2014) – สัญลักษณ์ของภาวะซึมเศร้าในรูปของปีศาจ

    หนังเหล่านี้พิสูจน์ว่า “ความกลัว” ไม่จำเป็นต้องมาจากผีหรือเลือด แต่อาจมาจากความจริงในชีวิตประจำวันที่เราไม่อยากเผชิญ

    10 หนังสยองขวัญแบบไม่ใช้ CG ช่วย 💀 - YouTube


    ทำไมคนยุคใหม่ถึงกลับมาหลงใหลหนังสยองขวัญ

    1. ความกลัวที่สะท้อนสังคมยุคดิจิทัล

    ยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี หนังสยองขวัญจึงเป็นเครื่องมือให้คนรุ่นใหม่ “ปลดปล่อย” ความเครียดและเผชิญหน้ากับสิ่งที่พวกเขาควบคุมไม่ได้

    2. ความสยองในมิติของจิตวิทยา

    ผู้ชมเริ่มชื่นชอบหนังที่มีชั้นเชิงมากกว่า เช่น “The Menu”, “Barbarian” หรือ “Talk to Me” ที่ไม่เพียงแค่หลอก แต่ยังให้สาระทางจิตใจและสังคม

    3. โซเชียลมีเดียกับการสร้างไวรัล

    การแชร์คลิป “คนดูตกใจ” หรือ “ฉากหลอนที่สุดในปี” ทำให้หนังสยองขวัญกลายเป็นไวรัลง่ายกว่าหนังแนวอื่น นำไปสู่การตลาดที่มีพลังมหาศาลโดยไม่ต้องใช้งบโฆษณามาก


    ตลาดหนังสยองขวัญปี 2025: ค่ายใหญ่หันกลับมาจริงจัง

    ปี 2025 ถือเป็นปีที่หลายค่ายหนังประกาศโปรเจกต์สยองขวัญชุดใหญ่ เช่น

    • Blumhouse Productions กลับมาสร้างภาคใหม่ของ Insidious และ The Black Phone 2

    • A24 เตรียมปล่อยหนังแนวสยองเชิงศิลป์อีกหลายเรื่อง

    • Netflix และ HBO Max ลงทุนในหนังผีเอเชียแนวใหม่ ที่ใช้โลเคชั่นในไทยและญี่ปุ่น

    อุตสาหกรรมนี้เริ่มเห็น “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ชัดเจนขึ้น หนังทุนต่ำแต่รายได้สูง เช่น Smile (2022) หรือ Talk to Me (2023) ทำเงินหลายร้อยล้านบาททั่วโลก


    กระแสสยองขวัญในเอเชีย: เมื่อวัฒนธรรมท้องถิ่นกลายเป็นอาวุธ

    ญี่ปุ่น: ความกลัวแบบเงียบและหลอนลึก

    ญี่ปุ่นคือเจ้าแห่งความสยองขวัญทางจิต เช่น Ju-On, Ringu และล่าสุด Suicide Forest Village ที่สะท้อนความกลัวในสังคมจริง เช่น ความโดดเดี่ยวและแรงกดดันจากการทำงาน

    เกาหลีใต้: สยองขวัญทางอารมณ์และความเศร้า

    เกาหลีไม่เพียงสร้างผี แต่ยังสร้าง “ดราม่าในความกลัว” เช่น The Wailing, The Medium และ The 8th Night ที่ผสมศาสนา ความเชื่อ และอารมณ์สูญเสียได้อย่างลึกซึ้ง

    ไทย: ผีไทยกำลังกลับมาทวงบัลลังก์

    หลังจากกระแสซบเซาไปช่วงหนึ่ง ปี 2024–2025 ไทยกลับมามีหนังผีที่โดดเด่นอีกครั้ง เช่น บ้านเช่า..บูชายัญ, ผีโทรศัพท์, และ ร่างทรง 2 ที่ผสมผสานความเชื่อพื้นบ้านกับความกลัวแบบสมัยใหม่


    เทคโนโลยีกับความกลัว: VR และ AI กำลังสร้างประสบการณ์ใหม่

    หนังสยองขวัญยุคใหม่ไม่หยุดอยู่แค่จอภาพยนตร์ แต่กำลังเข้าสู่โลก VR (Virtual Reality) ที่ผู้ชมจะได้ “อยู่ในฉาก” และรู้สึกถึงความกลัวแบบเรียลไทม์ รวมถึง AI ที่สามารถสร้าง “หนังผีส่วนตัว” ที่จำลองสถานการณ์จากความกลัวของผู้ชมแต่ละคนได้


    สรุป: ความกลัวไม่เคยตาย แค่เปลี่ยนรูปแบบไปตามยุค

    หนังสยองขวัญไม่ได้กลับมาเพราะ “ผี” แต่กลับมาเพราะ “คน” ยุคใหม่ต้องการเครื่องมือในการระบายอารมณ์และทำความเข้าใจกับสังคมที่น่ากลัวยิ่งกว่าภาพยนตร์

    ในปี 2025 เราอาจไม่ได้ถามว่า “หนังสยองขวัญจะกลับมาหรือไม่”
    แต่ควรถามว่า “เราพร้อมเผชิญกับความกลัวรูปแบบใหม่แล้วหรือยัง?”


    FAQ (คำถามที่พบบ่อย)

    1. ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงชอบดูหนังสยองขวัญมากขึ้น?
    เพราะหนังแนวนี้สะท้อนความเครียด ความโดดเดี่ยว และความจริงในชีวิตคนยุคดิจิทัลได้อย่างตรงไปตรงมา

    2. หนังสยองขวัญที่ประสบความสำเร็จในยุคหลังมีอะไรบ้าง?
    เช่น Get Out, Hereditary, Talk to Me, The Medium และ Smile ซึ่งเน้นเนื้อหาเชิงจิตวิทยามากกว่าความรุนแรง

    3. อะไรคือจุดต่างระหว่างหนังสยองขวัญตะวันตกกับเอเชีย?
    ฝั่งตะวันตกเน้นความรุนแรงและสัญลักษณ์ทางสังคม ส่วนเอเชียเน้นความเชื่อ วิญญาณ และอารมณ์

    4. ทำไมผีไทยถึงยังครองใจคนดูได้เสมอ?
    เพราะผีไทยเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม ความเชื่อ และความศรัทธาในจิตใจของผู้ชม

    5. อนาคตของหนังสยองขวัญจะไปทางไหน?
    จะเป็นการผสมระหว่างเทคโนโลยีและอารมณ์ เช่น หนังสยองขวัญ VR, หนังที่สร้างโดย AI หรือซีรีส์แนว Mind Horror

    6. ถ้าอยากเริ่มดูหนังสยองขวัญควรเริ่มจากเรื่องใดดี?
    แนะนำให้เริ่มจาก The Conjuring, Get Out, Ringu, หรือ The Medium เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดของหนังสยองทั้งสองวัฒนธรรม


    Tags: หนังสยองขวัญ, ความกลัว, หนังผีไทย, หนังผีญี่ปุ่น, Blumhouse, A24, Get Out, Hereditary, เทรนด์หนัง2025, หนังระทึกขวัญ

  • คำถามถึงความยุติธรรม: กองประกวดมิสแกรนด์ควรตรวจสอบ ‘อาชีพ’ กรณี เบบี๋ สุพรรณี ที่สร้างรายได้ถูกกฎหมายหรือไม่?

    คำถามถึงความยุติธรรม: กองประกวดมิสแกรนด์ควรตรวจสอบ ‘อาชีพ’ กรณี เบบี๋ สุพรรณี ที่สร้างรายได้ถูกกฎหมายหรือไม่?

    ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการตัดสินใจของกองประกวดว่า การทำคอนเทนต์ใน OnlyFans ซึ่งในบางบริบทถือเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมายและเป็นช่องทางหารายได้ที่หลายคนเลือกทำ ควรถูกนำมาเป็น เหตุผลในการปลดตำแหน่ง หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อผู้เข้าประกวดชี้แจงว่าทำไปเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ประเด็นนี้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงเรื่อง “ความเท่าเทียมในโอกาส” และ “การตีตราอาชีพ” โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่หาเลี้ยงชีพด้วยร่างกาย แต่ถูกคาดหวังให้มีประวัติที่ “ขาวสะอาด” เมื่อเข้าสู่เวทีที่เน้นเรื่องความงามและคุณธรรม